บันทึกการเรียนครั้งที่ 15
ความรู้ที่ได้รับ
วันนี้เป็นการเรียนวันสุดท้ายของราวิชาการอบรมเลี้ยงดูเด็กปฐมวัยที่มีความต้องการพิเศษ
อาจายร์ได้ให้นักศึกษาดู VDO เด็กสมาธิสั้นของสถาบันราชานุกูลเพื่อที่นักศึกษาจะได้เห็นตัวอย่างในบำบัดของสถาบัน และยังได้ศึกษาอาการของเด็กสมาธิสั้นของจริง การดูในครั้งนี้มีประโยชน์มาก เนื่องจาก เมื่อเด็กมีความบกพร่องผู้ปกครองควรยอมรับสิ่งที่ลูกเป็นเพื่อป้องกันให้เด็กได้ใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างปกติ ควรเข้าพบแพย์อย่างสม่ำเสมอเพื่อดูอาการของเด็ก
วันศุกร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557
วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2557
บันทึกการเรียนครั้งที่ 14
@@@@@วันนี้ไม่มีการเรียนการสอนเนื่องจากอาจาย์รนำสื่อไปบริจาคให้กับโรงเรียนต่างจังหวัด@@@@@@
วันที่ 30 มกราคม 2557
บันทึกการเรียนครั้งที่ 13
ความรู้ที่ไดัรับ
การดูแลรักษาและส่งเสริมพัฒนาการเด็กที่มีความต้องการพิเศษ
เด็กพิเศษ
ดูแลด้วยความรัก พัฒนาด้วยความเข้าใจ
แนวทางการดูแลเด็กพิเศษ ไม่ว่าจะไปในทิศทางใดก็ตาม ถ้าเริ่มต้นจากการดูแลด้วยความรัก แล้วค่อยๆ พัฒนาด้วยความเข้าใจ ก็จะไปสู่จุดหมายปลายทางของการทำให้เด็กมีการพัฒนาเต็มตามศักยภาพที่มีอยู่ได้ไม่ยาก การดูแลด้วยความรัก ก็คือสิ่งที่พ่อแม่ทุกคนมีอยู่เต็มเปี่ยมอยู่แล้ว แต่ที่นำมาเน้นย้ำ เนื่องจากในความรักที่มีอยู่นี้ มักจะถูกบดบังด้วยความเครียด ความวิตกกังวล ความเบื่อหน่าย ความท้อแท้ และความรู้สึกอื่นๆ อีกมากมายในบางช่วงเวลา ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาที่จะเกิดความรู้สึกต่างๆ ขึ้นมาได้ในการดูแล แต่จำเป็นต้องหาวิธีจัดการความรู้สึกต่างๆ อย่างเหมาะสมต่อไป สำหรับการพัฒนาด้วยความเข้าใจ ก็เป็นสิ่งจำเป็น เนื่องจาก ขึ้นชื่อว่าเด็กพิเศษแล้วต้องมีกระบวนการพัฒนาที่พิเศษ ซึ่งกระบวนการเหล่านี้ต้องอาศัยความรู้ ความเข้าใจ หลักเบื้องต้นง่ายๆ ในการพัฒนา คือ “เด็กเป็นตัวตั้ง ครอบครัวเป็นตัวหาร ผู้เชี่ยวชาญเป็นตัวช่วย” “เด็กเป็นตัวตั้ง” กล่าวคือ ไม่มีสูตรสำเร็จรูปสำหรับการดูแลเด็กพิเศษทุกคน ทุกกลุ่ม ทุกอายุ ควรเข้าใจธรรมชาติที่ว่า เด็กแต่ละคนมีความเหมือนกัน และมีความแตกต่างกัน เด็กอาจมีความบกพร่องในบางด้าน แต่ในขณะเดียวกันก็มีความสามารถในบางด้านเช่นกัน การมองแต่ความบกพร่องบางด้าน และคอยแก้ไขความบกพร่องไปเรื่อยๆ ก็อาจถึงทางตันในที่สุด ควรหันกลับมามองในด้านความสามารถของเด็กด้วยว่าเด็กมีความสามารถด้านใดบ้าง เพื่อวางแผนการดูแล ให้การส่งเสริมความสามารถที่มีอยู่ให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งสามารถช่วยชดเชยความบกพร่องที่มีอยู่ได้ ดังนั้นการดูแลต้องวางแผนให้สอดคล้องกับสิ่งที่เด็กมี และสิ่งที่เด็กเป็น โดยวางแผนเฉพาะรายบุคคล ให้มีความเหมาะสมตามวัย และตามพัฒนาการของเด็ก “ครอบครัวเป็นตัวหาร” กล่าวคือ ครอบครัวมีบทบาทสำคัญที่สุดในการดูแลเด็กพิเศษ และคงไม่สามารถปฏิเสธได้ว่า ถ้าครอบครัวไม่ดูแล แล้วจะมีใครดูแลได้ดีกว่าอีกเล่า แต่ในการดูแลนั้น การมีความรักอยู่เต็มเปี่ยม อาจจะไม่เพียงพอ ถ้าขาดความเข้าใจ การมีความรู้ มีเจตคติที่ถูกต้อง และมีทักษะ พัฒนาเทคนิควิธีให้เหมาะสมอย่างต่อเนื่อง เป็นสิ่งที่ควรมีทั้งครอบครัว ต้องเน้นคำว่า “ ครอบครัว ” เพราะว่าไม่มีใครเก่งคนเดียว ต้องให้ความไว้วางใจกัน ให้ทุกคนมีส่วนร่วม ครอบครัวเข้มแข็งคือพลังแห่งความสำเร็จ ปัญหาที่มักเกิดขึ้นบ่อย คือ มีการแบ่งหน้าที่กันชัดเจนเกินไป แม่ดูแลเด็กอย่างทุ่มเท ในขณะที่พ่อพยายามทำงานหนักขึ้น เพื่อจุนเจือครอบครัว ในที่สุดก็เกิดช่องว่าง พ่อก็เริ่มไม่มีทักษะการดูแลเด็ก แม่ก็ไม่ไว้ใจให้พ่อดูแล ช่องว่างก็มากขึ้น จนเกิดปัญหาต่างๆ ตามมาในที่สุด การเริ่มต้นและพัฒนาที่ดี คือการสุมหัวเข้าหากัน คุยกัน ไว้วางใจกัน และหารความรัก ให้ทุกคนในครอบครัวมีโอกาสช่วยเหลือเด็กเท่าๆ กัน “ผู้เชี่ยวชาญเป็นตัวช่วย” ณ วันนี้ ความก้าวหน้าทางวิชาการมีการพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว ข้อมูลใหม่ๆ มีเพิ่มเติมตลอดเวลา เป็นไปไม่ได้ที่คนเดียวจะรู้ทุกอย่าง มีทักษะทุกด้าน ตัวช่วยจึงมีความจำเป็น ทีมงานผู้เชี่ยวชาญ ประกอบด้วย จิตแพทย์เด็ก พยาบาล นักจิตวิทยา นักแก้ไขการพูด นักกิจกรรมบำบัด นักกายภาพบำบัด ครูการศึกษาพิเศษ หรือวิชาชีพอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ถือเป็นตัวช่วยที่สามารถให้คำแนะนำ คำปรึกษา และสาธิตเทคนิควิธีต่างๆ ให้นำไปฝึกปฏิบัติต่อไปได้ แต่ต้องไม่ลืมว่า ผู้เชี่ยวชาญเป็นเพียงตัวช่วยเท่านั้น ไม่ใช่ตัวหลักอย่างเช่นครอบครัว ฉะนั้นถ้าบทบาทผิดเพี้ยนไปจากนี้ ผู้เชี่ยวชาญกลายเป็นตัวหลักขึ้นมา จะทำให้เด็กไม่สามารถพัฒนาได้เต็มศักยภาพที่มีอยู่จริง เนื่องจากเป็นไปไม่ได้ที่ผู้เชี่ยวชาญจะรู้จัก และเข้าใจเด็กได้ดีกว่าครอบครัวที่อยู่กับเด็กตลอด เมื่อมองจุดสุดท้ายที่เด็กพิเศษควรจะเป็น คือ พัฒนาเต็มตามศักยภาพที่เขามีอยู่ ถ้ายังไม่ถึงจุดนั้น ณ วันนี้ ก็ไม่เป็นไร เพราะวันหนึ่งต้องไปถึงแน่นอน ถ้ายังมีการดูแลด้วยความรักและพัฒนาด้วยความเข้าใจ โดยยึดหลัก “เด็กเป็นตัวตั้ง ครอบครัวเป็นตัวหาร ผู้เชี่ยวชาญเป็นตัวช่วย” จุดหมายปลายทางเป็นสิ่งที่ทุกคนคาดหวัง แต่ระหว่างทางที่ไปสู่จุดหมายนั้น มีสิ่งสวยงามให้ชื่นชมมากมาย พัฒนาการของเด็กพิเศษแต่ละขั้น ก็คือสิ่งสวยงามที่น่าชื่นชม การชื่นชมสิ่งสวยงามที่เกิดขึ้น ณ วันนี้ คือ กำลังใจที่ดีที่สุด | ||
วันที่ 23 มกราคม 2557
บันทึกการเรียนครั้งที่ 12
ความรู้ที่ได้รับ
เพื่อนำเสนองาน
กลุ่มที่ 5 ออทิสติก
ความรู้ที่ได้รับ
เพื่อนำเสนองาน
กลุ่มที่ 5 ออทิสติก
@@@หลังจากนำเสนองานเสร็จมีการสอบกลางภาคในรายวิชา@@
วันที่ 16 มกราคม 2557
บันทึกการเรียนครั้งที่ 11
ความรู้ที่ได้รับ
เพื่อนนำเสอนงานแต่ละกลุ่มโดยแต่ละกลุมจะได้เด็กที่ความบกพร่องที่ต่างกัน
กลุ่มที่ 1 เด็ก L.D
ความรู้ที่ได้รับ
เพื่อนนำเสอนงานแต่ละกลุ่มโดยแต่ละกลุมจะได้เด็กที่ความบกพร่องที่ต่างกัน
กลุ่มที่ 1 เด็ก L.D
กลุ่มที่ 2 เด็กสมองพิการ
กลุ่มที่ 3 สมาธิสั้น
กลุ่มที่ 4 ดาวซินโดม
วันที่ 9 มกราคม 2557
บันทึกการเรียนครั้งที่ 10
ความรู้ที่ได้รับ
การประเมินที่ใช้ในเวชปฏิบัติ
1)แบบทดสอบ DENVER II
2)Gesell Drawing Test ให้เด็กวาดรูปตามที่กำหนด
3)แบบประเมินพัฒนาการเด็กตามคู่มือส่งเสริมพัฒนาการเด็ก อายุแรกเกิด- 5 ปี
##ให้นักศึกษาลองวาดรูปตามที่อาจาย์รจะเปิดให้วามดทีละรูป##
ขั้นตอนในการดูแลเด็กที่มีความต้องการพิเศษ
ความรู้ที่ได้รับ
การประเมินที่ใช้ในเวชปฏิบัติ
1)แบบทดสอบ DENVER II
2)Gesell Drawing Test ให้เด็กวาดรูปตามที่กำหนด
3)แบบประเมินพัฒนาการเด็กตามคู่มือส่งเสริมพัฒนาการเด็ก อายุแรกเกิด- 5 ปี
##ให้นักศึกษาลองวาดรูปตามที่อาจาย์รจะเปิดให้วามดทีละรูป##
ซึ่งการวาดแบบทดสอบนี้จะวัดระดับพัฒนาการเด็กในแต่ละช่วงอายุ แต่ก็ไม่สามารถวัดได้ ร้อยเปอร์เซ็น
แนวทางในการดูแลรักษาพัฒนาการ
- หาสาเหตุที่ทำให้เกิดความบกพร่องทางพัฒนาการ
- การตรวจค้นหาความผิดปกติร่วม
- การรัดษาสาเหตุโดยตรง
- การส่งเสริมพัฒนาการ
ขั้นตอนในการดูแลเด็กที่มีความต้องการพิเศษ
1.การตรวจคัดกรองพัฒนาการ
2.การตรวจประเมินพัฒนาการ
3.การให้การวินิจฉัยและหาสาเหตุ
4.การให้การรักษาและส่งเสริมพัฒนาการ
5.การติดตามและประเมินผลการรักษาเป็นระยะ
วันที่ 28 ธันวาคม 2556
บันทึกการเรียนครั้งที่ 4
ความรู้ที่ได้รับ
6)เด็กที่มีความบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์
เด็กที่มีความบกพร่องทางพฤติกรรม ซึ่งจัดว่ามีความรุนแรงมาก
ความรู้ที่ได้รับ
6)เด็กที่มีความบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์
เด็กที่มีความบกพร่องทางพฤติกรรม ซึ่งจัดว่ามีความรุนแรงมาก
1.เด็กสมาธิสั้น
( Children with Attention Deficit and Hyperactivity Disorders )
2.เด็กออทิสติก
( Autistic หรือ ออทิสซึ่ม Autisum)
เด็กสมาธิสั้น ( ADHD )
-เด็กที่ซนอยู่ไม่นิ่ง ซนมากผิดปกติ เคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา
-เด็กบางคนมีปัญหาเรื่องสมาธิบกพร่อง อาการหุนหันพลันแล่น ขาดความยับยั้งชั่งใจ เด็กเหล่านี้ทางการแพทย์เรียกว่า Attention Deficit Disorders ( ADD )
ลักษณะของเด็กที่มีความบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์
-อุจจาระปัสสาวะรดเสื้อผ้า หรือที่นอน
-ยังติดขวดนม หรือตุ๊กตา และของใช้วัยทารก
-ดูดนิ้ว กัดเล็บ
-หงอยเหงา เศร้าซึม การหนีสังคม
-เรียกร้องความสนใจ
-อารมณ์อ่อนไหวง่ายต่อสิ่งเร้า
-ขี้อิจฉาริษยา ก้าวร้าว
-ฝันกลางวัน
-พูดเพ้อเจ้อ
วันที่ 21 พฤศจิกายน 2556
บันทึกการเรียนครั้งที่ 3
ความรู้ที่ได้รับ
4)เด็กที่มีความบกพร่องทางร่างกายและสุขภาพ
ความรู้ที่ได้รับ
4)เด็กที่มีความบกพร่องทางร่างกายและสุขภาพ
5)เด็กที่มีการบกพร่องทางการพูดและภาษา
วันที่ 14 พฤศจิกายน 2556
บันทึกการเรียนครั้งที่ 2
สิ่งที่เรียนรู้
สิ่งที่เรียนรู้
เด็กที่มีความต้องการพิเศษ หมายถึง เด็กที่ไม่อาจพัฒนาความสามารถได้เท่าที่ควร จากการเรียนการสอนตาม
ปกติ ทั้งนี้ มีสาเหตุมาจากสภาพความบกพร่องทางร่างกายสติปัญญาและอารมณ์จำเป็นต้องจัดการศึกษาพิเศษให้เหมาะกับลักษณะและความต้องการของเด็ก
ปกติ ทั้งนี้ มีสาเหตุมาจากสภาพความบกพร่องทางร่างกายสติปัญญาและอารมณ์จำเป็นต้องจัดการศึกษาพิเศษให้เหมาะกับลักษณะและความต้องการของเด็ก
ทางการแพย์เรียกว่า เด็กพิการ หมายถึงเด็กที่มีความผิดปกติทุกด้านในร่างกาย การสูญเสียสมรรถภาพทางสติปัญญาและทางจิตใจ
สรุป เด็กที่ไมาอาจพัฒนาตนเองได้เท่าที่ควรในการเรียนการสอนครูต้องปรับการสอนให้เข้ากับเด็ก
ประเภทของเด็กที่มีความต้องการพิเศษกระทรวงศึกษาธิการกำหนด
เด็กที่มีความต้องการพิเศษในโรงเรียนปกติ จำแนกได้ดัดังนี้ คือ
1. เด็กที่มีความบกพร่องทางการเห็น
2. เด็กที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน
3. เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา ได้แก่ เด็กเรียนช้า เด็กปัญญาอ่อน
4. เด็กที่มีความพิการทางร่างกายและมีความบกพร่องทางสุขภาพ
5. เด็กที่ด้วยความสามารถทางการเรียน
6. เด็กที่มีความบกพร่องทางการพูด
7. เด็กที่มีปัญหาทางอารมณ์ / พฤติกรรม
8. เด็กออทิสติค
9. เด็กที่มีความพิการซ้อน
###อาจาย์รเพิ่มให้อีกหนึ่ง คือ เด็กปัญญาเลิศ###
1. เด็กที่มีความบกพร่องทางการเห็น
2. เด็กที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน
3. เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา ได้แก่ เด็กเรียนช้า เด็กปัญญาอ่อน
4. เด็กที่มีความพิการทางร่างกายและมีความบกพร่องทางสุขภาพ
5. เด็กที่ด้วยความสามารถทางการเรียน
6. เด็กที่มีความบกพร่องทางการพูด
7. เด็กที่มีปัญหาทางอารมณ์ / พฤติกรรม
8. เด็กออทิสติค
9. เด็กที่มีความพิการซ้อน
###อาจาย์รเพิ่มให้อีกหนึ่ง คือ เด็กปัญญาเลิศ###
เด็กพิเศษแบ่งได้ 2 กลุ่มใหญ่
คือ 1)กลุ่มเด็กที่มีลักษณะทางความสามารถสูง มีความเลิศทางปัญญา
2)กลุ่มเด็กที่มีความบกพร่ิงทางร่างกายและสติปัญญา
ในวันนี้ได้สรุปเด็ก 3 ประเภท
1)เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา
2)เด็กที่มีความบกพร่องทางการได้ได้ยิน
3)เด็กบกพร่องทางการมองเห็น
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)